
การใช้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ศิลปะเพื่อวิเคราะห์รูปแบบงานศิลปกรรมประดับกระจกเกรียบ

หอไตรวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ หลักฐานของหอไตรศิลปะอยุธยาในกรุงเทพมหานคร
สมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ค่านิยมการสร้างงานศิลปกรรมอย่างไทยประเพณีแปรเปลี่ยนไป บทบาทหน้าที่ของกระจกเกรียบโบราณที่ใช่ประดับประดาในงานศิลปกรรมถูกใช้น้อยลง จนสูญหายไปในช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อมีการบูรณะงานศิลปกรรมประดับกระจกเกรียบก็ไม่สามารถหากระจกเกรียบโบราณแบบเดิมได้ จึงมีการนำเข้ากระจกแก้วชนิดบางจากจีน (มีลักษณะเป็นกระจกเงาที่มีซิลิกาเป็นองค์ประกอบหลัก) พบหลักฐานร่องรอยการซ่อมแซมประดับกระจกชนิดบาง เช่น พระเสลี่ยงกง สมัยรัตนโกสินทร์ (พุทธศตวรรษที่ 24-25) ปัจจุบันจัดแสดงในพระที่นั่งภิมุขมณเฑียร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยมีการประดับกระจกแก้ชนิดบาง (ซึ่งก็เรียกกันในหมู่ช่างว่า “กระจกเกรียบ” เช่นเดียวกับแก้วกระจกสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเป็นการเรียกตามลักษณะทางกายภาพของกระจกที่มีความบาง และเปราะอย่างข้าวเกรียบ) ทับกระจกเกรียบสีต่างๆ ซึ่งเป็นของเดิมสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ (ภาพที่ 1-2) สันนิษฐานว่าใช้ในการประดับหรือซ่อมแซมงานศิลปกรรม ที่สอดคล้องกับหลักฐานการสั่งซื้อกระจกจากประเทศจีนเกี่ยวกับการสั่งซื้อเพชรตัดกระจก จึงสันนิษฐานว่า กระจกที่สั่งซื้อจากจีนในสมัยนี้เป็นกระจกประเภทกระจกแก้ว หรือกระจกเงาสี ที่เข้ามามีบทบาทในงานศิลปกรรมไทย

การประดับกระจกเกรียบชนิดบางนำเข้าจากจีน สมัยรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 5) ทับกระจกเกรียบสีต่าง ๆ ซึ่งเป็นของเดิม