
ลายขนมปังขิง ณ วังวรวรรณ

สามแพร่ง ผู้คน ชุมชน และบ้านเรือน
การนำลายไม้ฉลุมาประดับตามส่วนต่าง ๆ งานสถาปัตยกรรมของไทย ปรากฏขึ้นอย่างช้าที่สุดตั้งแต่ช่วงต้นรัตนโกสินทร์ เป็นการประดับลายไม้ฉลุบริเวณ “หย่อง” ใต้บานประตู หน้าต่างของเรือนไทยโบราณ มีทั้งลายกระหนก ลายดอกพุฒตาน และลายอย่างจีนแบบอื่น ๆ (ภาพที่ 1) โดยส่วนใหญ่จะปรากฏใช้กับเรือนฝากระดานของเจ้านาย ขุนนาง และคหบดีเป็นหลัก ดังนั้นการประดับบ้านเรือนด้วยลายไม้ฉลุดังกล่าวจึงเป็นเสมือนสัญลักษณ์แสดงสถานะของผู้อยู่อาศัย เช่นเดียวกับลายขนมปังขิงที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกเข้ามาภายหลังเช่นกัน
ลายไม้ฉลุจะแตกต่างจากลายขนมปังขิงตรงความหนาของตัวลาย และวิธีการแกะสลักที่ยังคงพื้นหลังของแผ่นไม้ไว้ มิได้มีการเจาะทะลุเพื่อให้แสง หรือลมผ่านเข้ามาได้ สอดคล้องกับหน้าที่การใช้งานและตำแหน่งการประดับ ซึ่งเน้นเพิ่มความสวยงามให้กับตัวเรือนเท่านั้น อย่างไรก็ดีพบว่าลายขนมปังขิงที่ประดับเรือนมนิลาในช่วงต้นรัชกาลที่ 5 ก็ยังคงความหนา ความแน่นของตัวลายคล้ายกับลายไม้ฉลุที่กล่าวไปแล้ว (ภาพที่ 2) นัยหนึ่งอาจเป็นความคุ้นเคยของช่างที่ต่อเนื่องมา ผิดกับลายขนมปังขิงรุ่นหลังที่จะเพรียวบางกว่า ทั้งนี้ตำแหน่งที่พบการประดับลายขนมปังขิงในระยะแรกจะจำกัดอยู่เฉพาะตำแหน่งที่จำเป็น คือบริเวณครีบชายคา กับช่องลม เพื่อใช้กันฝนสาดเข้าประตู หรือหน้าต่าง กับใช้เป็นช่องให้แสงและอากาศผ่านเข้ามาตามลำดับ
จากการศึกษาลายขนมปังขิงที่ประดับอยู่บนตึกแถวย่านแพร่งนรา และแพร่งภูธรพบว่า ยังคงตกแต่งอยู่ในตำแหน่งเดียวกันนี้ (ภาพที่ 3) สอดคล้องกับหลักฐานที่ระบุระยะเวลาการสร้างตึกแถวว่าอยู่ในช่วง พ.ศ. 2439 และ พ.ศ. 2448 ซึ่งเป็นครึ่งแรกของในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 อนึ่งกรณีวังวรวรรณจำเป็นต้องใช้เกณฑ์การพิจารณาแยกออกไป เนื่องจากเป็นวังเจ้านาย ทั้งยังเคยใช้เป็นโรงละครปรีดาลัยมาก่อน จึงต้องมีการตกแต่งให้ดูหรูหราเข้ากับบริบทการใช้สอยเป็นหลัก

ตัวอย่างการประดับลายขนมปังขิง ช่วงต้นรัชกาลที่ 5 อาคารกุฏิสงฆ์ วัดพิชยญาติการาม ธนบุรี (ที่มา : น. ณ ปากน้ำ, แบบแผนบ้านเรือนในสยาม, พิมพ์ครั้งที่ 7 (นนทบุรี: เมืองโบราณ, 2563), หน้า 208)

การประดับครีบชายคา และช่องลมของตึกแถวย่านแพร่งภูธรด้วยลายขนมปังขิง