
อาคารแบบตะวันตกช่วงครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ 25 กับการสะท้อนเอกลักษณ์ย่านสามแพร่ง

เรือนขนมปังขิง (Gingerbread house) กับการประดับตกแต่งอาคารตึกแถวย่านสามแพร่ง
วัตถุประสงค์หลักในการสร้างตึกแถวตลอดแนวถนนในย่านสามแพร่ง น่าจะมาจากการที่เจ้านายหันมาให้ความสนใจกับธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ดินและการจัดสรรตึกแถวให้เช่าตามอย่างพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงดำเนินการผ่านระบบพระคลังข้างที่ ซึ่งถือเป็นการลงทุนระยะยาวและเป็นการสร้างรายได้ที่มั่นคง ทั้งนี้สะท้อนให้เห็นการปรับตัวให้เข้ากับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปนับจากมีการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งในปี พ.ศ. 2398 ยืนยันได้จากกรณีของกรมหลวงสรรพศาสตร์ศุภกิจ ที่ขอกู้เงินจากพระคลังข้างที่ไปก่อสร้างตึกแถวในแพร่งสรรพศาสตร์ให้เช่า “…อนึ่งในที่รายนี้ ถ้าจะตัดทำถนน โรงแถวอย่างพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์ จะได้ตึกไม่ต่ำกว่า 280 ห้อง …ข้าพระพุทธเจ้าขอรับพระราชทานกู้เงินสักพันชั่ง ดอกเบี้ย 100 ละ 5 เปอร์เซนต์ทุกปี…”
อนึ่ง เนื่องจากสนธิสัญญาเบาว์ริ่งมีสาระสำคัญอยู่ที่ ชาติตะวันตกต้องการให้ราชสำนักยกเลิกการผูกขาดการค้าที่เคยดำเนินการผ่านระบบพระคลังสินค้า ส่งผลให้เจ้านาย ขุนนาง ตลอดจนคหบดีที่เป็นกลุ่มผลประโยชน์เดิมขาดรายได้ ขณะที่ทางฝั่งผู้ค้าที่เป็นเอกชนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาติตะวันตกจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการกลุ่มใหม่ในตลาดการค้าเสรีที่ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วนับแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา เห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางกายภาพ ตลอดจนการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขนานใหญ่เพื่อรองรับจำนวนประชากรที่มีมากขึ้นถึง 12 เท่า เมื่อเทียบกับสมัยแรกสร้างกรุง (จำนวนประชากรในเมืองหลวงเมื่อครั้งสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงครองราชย์ มีเพียง 50,000 คน ในปี พ.ศ. 2443 มีประชากรจำนวนประมาณ 600,000 คน) โดยประชากรส่วนหนึ่งเป็นชาวต่างชาติที่ตั้งใจเข้ามาลงทุน และตั้งรกรากเพื่อประกอบธุรกิจนั่นเอง

ตึกแถวในแพร่งนรา ในอดีตพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์โปรดฯ ให้ผู้คนในละแวกนั้นเข้ามาเช่าเพื่อทำกิน และใช้เป็นที่พักอาศัย