
งานศิลปกรรมในวัดพุทธศาสนามหายาน จีนนิกาย และอนัมนิกาย กรุงเทพมหานคร

เหวยถัว หนึ่งในผู้พิทักษ์สังฆารามจีนนิกาย
ในพิธีอุปสมบท (บวชพระภิกษุ) พระวินัยกำหนดให้กระทำในพื้นที่เฉพาะสำหรับสังฆกรรม ซึ่งมีการผูกสีมาเรียบร้อยแล้ว สำหรับวัฒนธรรมพระพุทธศาสนาของดินแดนไทยซึ่งมีนิกายเถรวาทเป็นหลักจะเห็นว่ามีการกำหนดพื้นที่ดังกล่าว โดยตั้งใบเสมาศิลาเพื่อกำหนดขอบเขตให้ชัดเจน และมีการสร้างอาคารภายในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งเรียกว่า อุโบสถ หรือโบสถ์ หลายคนสังเกตเห็นการตั้งใบเสมาในวัดจีนนิกายของไทยหลายแห่ง เช่น วัดมังกรกมลาวาส และวัดโพธิ์แมนคุณาราม และอาจเข้าใจว่าตั้งแต่มีการสร้างวัดจีนนิกายในไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมาก็คงมีการตั้งใบเสมาเพื่อกำหนดขอบเขตพื้นที่เพื่อทำสังฆกรรมอยู่แล้ว แต่แท้จริงแล้วการผูกสีมาในวัดจีนนิกายในไทยเพิ่งเริ่มราว พ.ศ.2490 ในสมัยพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (โพธิ์แจ้ง) เป็นเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย
โดยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่เริ่มมีการตั้งคณะสงฆ์จีนนิกายจนกระทั่งช่วงก่อน พ.ศ.2490 มีแต่การบรรพชาสามเณร และเนื่องจากไม่มีการผูกสีมา ดังนั้นผู้ประสงค์บวชเป็นพระภิกษุต้องดำเนินการอุปสมบทที่วัดในเมืองจีน ต่อมาพระอาจารย์โพธิ์แจ้งเห็นว่าการเดินทางไปจีนไม่ค่อยสะดวกจึงขอให้พระสงฆ์จากธรรมยุติกนิกายประกอบพิธีผูกสีมาให้
การผูกสีมา สร้างอุโบสถ และประดิษฐานใบเสมา 8 ทิศรอบอุโบสถที่ปรากฏในวัดจีนนิกายเป็นอิทธิพลที่ได้รับจากวัดเถรวาทของไทยซึ่งต่างจากจีน โดยในจีนนั้นมีการทำพิธีผูกสีมาเช่นกันแต่ไม่ปรากฏว่ามีการประดิษฐานใบเสมารอบอาคารให้เป็นสัญลักษณ์เด่นชัด แต่พื้นที่สำหรับประกอบพิธีอุปสมบทพระภิกษุจะเป็นแท่นฐานที่ซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป 3 ชั้น ซึ่งเรียกว่า เจี้ยถาน (戒坛) โดยอาจเป็นแท่นถาวรหรือแท่นที่สร้างขึ้นชั่วคราวได้โดยมักจะอยู่ภายในอาคาร อาคารดังกล่าวอาจตั้งบนแนวแกนประธานหรือนอกแนวแกนประธานก็ได้ ซึ่งต่างจากวัดจีนในไทยที่ตัวอุโบสถจะต้องอยู่ในตำแหน่งสำคัญบนแนวแกนประธาน ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของคณะสงฆ์จีนนิกายให้เข้ากับสังคมและวัฒนธรรมไทยมากขึ้น
** ข้อมูลส่วนหนึ่งได้มาจากการสัมภาษณ์ อาจารย์เศรษฐพงษ์ จงสงวน

ลักษณะใบเสมาของวัดโพธิ์แมนคุณารา

เจี้ยถาน หรือแท่นสำหรับประกอบพิธีอุปสมบท วัดหลงชาง ภูเขาเป่าหวา มณฑลเจียงซู
ที่มาภาพ http://zenmonk.net/photo.htm เข้าถึงเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2565