
หน้าบัน…ข้อสังเกตจากลายเถาคดโค้ง

การวางผังอุโบสถและวิหารคู่ขนานกัน
อาคารทรงจั่นหับ หรือ อาคารที่มีเพิงยื่นออกไปทางด้านหน้าและด้านหลัง ถือเป็นหนึ่งในรูปแบบอาคารที่นิยมใช้สร้างเป็นอุโบสถและวิหารของวัดในย่านฝั่งธนบุรี ในช่วงพุทธศตวรรษทื่ 24 หรือในสมัยอยุธยาตอนปลายจนถึงในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เช่น โบสถ์น้อย วิหารน้อยวัดอรุณราชวราราม พระอุโบสถวัดดุสิดาราม พระอุโบสถวัดทองธรรมชาติ พระอุโบสถวัดภคินีนาถ อุโบสถวัดสวนสวรรค์ อุโบสถวัดทอง เป็นต้น
รูปแบบอาคารเช่นนี้อาจเกี่ยวข้องกับลักษณะบ้านเรือนที่เป็นอาคารเครื่องไม้ของบ้านเรือนไทยแบบพื้นถิ่นทั่วไปในภาคกลาง หากแต่ปรับเปลี่ยนวัสดุจากบ้านเครื่องไม้เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน
กรณีประโยชน์ของการสร้างเพิงกับบ้านพักอาศัย นอกจากจะใช้เป็นหลังคากันแดดกันฝนไม่ให้เข้ามาในตัวบ้านที่เป็นเขตพักอาศัยแล้ว ยังทำให้สามารถเปิดประตูห้องเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ถึงแม้ฝนจะตกหรือแดดจะส่องลงมาก็ตาม ส่วนกรณีของการสร้างเพิงกับโบสถ์และวิหารก็คงมีหน้าที่และประโยชน์เช่นเดียวกับบ้านพักอาศัย และเป็นการออกแบบหลังคายื่นออกมาจากตัวอาคารรูปแบบหนึ่งเพื่อคลุมบริเวณหน้าประตูทางเข้าที่ทุกโบสถ์ วิหารจำเป็นต้องมี
ลักษณะสำคัญของอาคารกลุ่มนี้ จุดสังเกตนอกจากจะอยู่ที่เพิงด้านหน้าและด้านหลังแล้ว ลักษณะของหน้าบันน่าจะใช้เป็นเครื่องมือในการกำหนดอายุเบื้องต้นได้ โดยในช่วงพุทธศตวรรษทื่ 24 มักทำหลังคาซ้อนกัน 2-3 ตับ ทำให้กรอบหน้าบันที่เป็นงานประดับจะมีขนาดเล็กและมีเฉพาะตับด้านบน ส่วนตับด้านล่างลงมาจะปล่อยให้เป็นพื้นที่ว่าง หากเป็นงานในระยะต่อมาซึ่งน่าจะเริ่มขึ้นราวปลายพุทธศตวรรษที่ 24 ชั้นหลังคามักเหลือแค่ตับเดียว ทำให้การประดับตกแต่งจะมีพื้นที่กว้างกว่า จนดูเหมือนว่าหน้าบันประดับจนเต็มพื้นที่และใหญ่กว่าหน้าบันของอาคารนี้ในระยะแรก แต่ทว่าแท้จริงแล้วน่าจะเป็นความนิยมตกแต่งเฉพาะหลังคาในตับแรกเท่านั้น

พระอุโบสถ วัดทองธรรมชาติ